บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันเท่านั้นโปรดทราบ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ผักโขม

 




          ผักโขมโด่งดัง เพราะป๊อบอายส์ตัวการ์ตูนกะลาสีที่กินเป็นประจำจนแข็งแรงทั้งๆ ที่ตัวเล็กนิดเดียว ในผักโขมมีธาตุเหล็ก ซัลเฟอร์ เบต้าแคโรทีน แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง แต่ปัญหาของผักโขมก็มี คือมีกรดที่ชื่อว่าออกเซลิค แอซิด อยู่ในตัวมันสูง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถดูดซับธาตุเหล็กที่มีอยู่มากในตัวมันได้ ดังนั้นถ้าจะกินผักโขมก็ต้องรู้จักวิธีกินให้ถูกต้อง

          ห้ามกินผักโขมดิบๆ (คิดว่าไม่มีใครอยากกิน) แต่ก็มีบางคนที่ชอบกินผักดิบๆ มากจนสามารถหยิบผักทุกชนิดกินดิบได้ ขอให้ระวังข้อนี้ด้วยนะคะ เพราะน่าแปลกที่ผักบางอย่างควรกินดิบจะดีกว่า บางอย่างต้องทำสุกเท่านั้น หรือบางอย่างทำสุกแล้วกลับให้ประโยชน์มากกว่า เช่น แครอท เป็นต้น ผักโขมต้องทำให้สุกเพื่อฆ่าเจ้าสารตัวนี้ให้บรรเทาเบาบางลงก่อน และเชื่อไหมว่าถ้าเราบีบมะนาวลงบนผักโขมที่สุกสักหน่อย (หรือกินร่วมกับผักที่มีรสเปรี้ยวเช่นมะเขือเทศ) จะทำให้ร่างกายเรารับเอาธาตุเหล็กได้ดีกว่า          สีเขียวเข้มของผักโขมบ่งบอกว่ามีสารคลอโรฟีลล์สูงสามารถช่วยล้างฟอกออกซิเจนในเซลล์ และมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูง ทั้งผักโขมยังมีกากใยที่ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายดีอีกด้วย

          แล้วทำไมเราจะไม่หาเมนูอร่อยๆ จากผักโขมมากินกัน?

          มารู้จักซื้อผักโขมกันก่อน

          ผักโขม ตรงกับภาษาอังกฤษเรียกว่า Spinach เป็นผักที่มีขนาดตั้งแต่ต้นเล็กๆ สั้นๆ ไปจนถึงต้นยาวขนาดผักบุ้งจีน ถ้าหาซื้อในท้องตลาด บางทีอาจพบผักโขมที่มีใบสีแดงปนอยู่ มองดูสวยเหมือนไม้ประดับมากกว่าจะเอามากิน ว่ากันว่าผักโขมชนิดที่มีสีแดงปนด้วยนี้ ให้คุณค่าอาหารดีกว่าใบเขียวธรรมดา คงจะเป็นเพราะสารให้สีที่อยู่ในผักนั่นเอง แต่ไม่ต้องเกี่ยงหรอก ชนิดไหน ๆ ก็กินดีทั้งนั้น ถ้าเรารู้วิธีเอามาทำกิน และเลือกที่ปลอดจากยาฉีดเป็นใช้ได้

          บางคนอาจไม่รู้ว่า เราสามารถเดินเก็บผักโขมตามสวนหรือในที่ว่างโดยนึกไม่ถึงว่ามันเป็นชนิดเดียวกับที่เขาขายโดยตลาด เมื่อดิฉันแต่งงานใหม่ๆ ผู้ที่เข้าครัวทำอาหารให้กินคือคุณแม่ของสามีที่เราเรียกว่า "อาม่า" กลับบ้านมาวันหนึ่งเห็นอาม่าเดินท่อม ๆ เก็บผักที่ขึ้นอยู่ตามขอบรั้วหน้าบ้าน และบริเวณที่ว่างใกล้เคียง ถามดูจึงรู้ว่ากำลังเก็บผักโขมมาต้มแกงจืดให้เรากินนั่นเอง

          สมัยก่อนโน้นดิฉันยังไม่เคยรู้เรื่องผักหญ้าจึงประหลาดใจ และไม่ค่อยแน่ใจว่าจะกินได้จริงหรือเปล่า อาม่ายืนยันว่าเป็นผักชนิดเดียวกันที่เราเรียกว่าผักโขม และบอกเพียงว่ากินแล้วแข็งแรงดี ยิ่งต้มใส่กับหมูสับที่เรา เรียกว่าบะช่อยิ่งอร่อยมาก

          อาม่าบอกวิธีให้สับหมูปนมันเล็กน้อยพอให้เนื้อนุ่ม ใส่กระเทียมดิบสับลงไปด้วยกลีบสองกลีบเล็กๆ พอให้หอม ใส่ซีอิ๊วลงไปนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นก้อน ใส่ลงน้ำร้อนเดือดๆ ในหม้อได้เลย

          พอหมูสุกดีแล้ว อาม่าก็เอาผักโขมที่เด็ดเป็นใบๆ ล้างสะอาด ขยุ้มใส่ลงไป เอาทัพพีกดให้จมน้ำลงไปหน่อย พอเดือดอีกทีก็หรี่ไฟเคี่ยวไว้สักครู่ พอให้แน่ใจว่าต้องสุกนิ่มดีปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวอย่างเดียว ตักใส่ชามร้อน ๆ โรยพริกไทยอีกหน่อย เป็นอันได้กินแกงจืดยอดพลังราคาถูก แถมทำง่ายนิดเดียว เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี รับรองได้

          ใครที่แน่ใจว่ารู้จักผักโขมที่ขึ้นตามข้างทางหรือที่รกร้าง ก็อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปเด็ดเอามากิน ไปซื้อที่ตลาดราคาไม่กี่สตางค์ เพราะไม่ใช่ของราคาแพง เพาะก็ง่าย ขึ้นก็เร็วแถมยังแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ดจากต้นแก่ที่ปลิวไปทั่ว ในสวนที่บ้านดิฉันนั้น มีผักโขมให้เด็ดกินไม่ได้ขาด

          ถ้าเป็นพันธุ์พื้นบ้านก็จะเป็นต้นเตี้ยๆ เล็กๆ ชาวบ้านชอบเก็บเอามาต้มให้สุก กินกับน้ำพริก เวลาไปเดินตลาดบ้านนอกให้ลองสังเกตผักโขมบ้านที่ชาวบ้านและกำเป็นมัดสั้นๆ วางขาย ผักโขมบ้านจะมีใบเขียวเข้มกว่าและใบเล็กนิดเดียว ดิฉันเคยเห็นวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน เขาจะวางใส่กระบะไว้ให้หยิบได้เป็นขีด มองดูขนาดและหน้าตาเหมือนผักโขมบ้านของเรา แต่มีก้านสีขาว ราคาแพงโขอยู่เมื่อเทียบกับที่ชาวบ้านขายมัดละ 3 บาท ถามไถ่ดูว่ามาจากไหนเพราะหน้าตาสวยงาม กลายเป็นพันธุ์มาจากเมืองจีน แต่คิดว่ามีผู้นำมาเพาะขายในประเทศนี้ แต่เราไม่จำเป็นต้องซื้อแบบราคาแพงก็ได้ ถ้าหาที่ชาวบ้านขายได้ รับรองว่าอาจจะมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องฉีดยาอะไรทั้งสิ้น และก็ไม่แน่ว่าในสวนบ้านของคุณ หรือที่รกร้างใกล้เคียงอาจมีผักโขมขึ้นอยู่ให้เราถอนมากินก็ได้ ถ้าเป็นพันธุ์ต้นสูงก็เด็ดเอาแต่ยอดอ่อน ๆ มากิน

          มารู้ทีหลังว่าใครที่ชอบผดผื่นคันให้ถอนรากถอนโคนผักโขมพันธุ์ที่มีหนามมาต้มเอาน้ำอาบเป็นหาย สารพัดประโยชน์เลยทีเดียว อย่าไปเห็นว่าเป็นวัชพืชที่ต้องถอนทิ้งจากสวนเชียวค่ะ

          ถ้าอยากกินผักโขมแบบฝรั่งให้ลองทำอย่างนี้ค่ะ

          บางคนอาจเคยกินสลัดผักโขม ทำไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าไม่ควรกินผักโขมดิบๆ เด็ดเอาใบล้างสะอาดเลือกที่ใบอ่อน จะไม่เหนียว แล้วเอาใส่หม้อ ปิดฝา ตั้งไฟสักครู่เดียว น้ำในผักจะทำให้ผักสุกเองโดยไม่ต้องใส่น้ำเพิ่มแค่นั้นแหละค่ะ เราก็ได้ผักโขมมาทำสลัด ดิฉันชอบปนกับผักอย่างอื่นด้วยตามชอบ อาจเป็นผักทำสุกอย่างอื่น เช่น ถั่วแขก แครอต ฟักทอง หรือปนกับผักดิบที่เป็นผักสลัดก็ได้ แล้วใช้น้ำสลัดที่ชอบคลุกลงไป

          เมนูตามร้านเขามักโรยเบคอนทอดด้วยค่ะ ถ้าเราระวังเรื่องสุขภาพก็ไม่จำเป็นแต่จะอร่อยและได้ประโยชน์มากถ้าใส่ไข่ต้มสุกแข็ง สับๆ ลงไปด้วยสักลูกหนึ่ง

          แค่นี้ก็เป็นอาหารกินดี อร่อย และทำง่าย ๆ ถ้าเกิดไม่นิยมสลัดให้เรามา ทำแบบเมดิเตอร์เรเนียนกินกันง่าย ๆ เด็ดเอาใบล้างน้ำให้สะอาด เพราะใบผักโขมมักหงิกงอให้เศษดินหรือทรายปนอยู่ได้  ล้างหลายรอบหน่อยให้แน่ใจว่าสะอาดดี และควรวางใส่ในกระชอนให้ผักแห้งดีก่อนเอามาปรุง  มิฉะนั้นเมื่อผัดแล้วอาจมีน้ำเจิ่งและไม่ได้รสดีเท่าที่ควร

          คราวนี้เอากระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันมะกอกลงไปสักนิดหน่อย เห็นว่าร้อนดีแล้ว (ไม่ต้องให้ควันขึ้นนะคะจะกลายเป็นอาหารทำลายสุขภาพไปเสียก่อน) ใส่กระเทียมสับลงไป ถ้าจะให้สวย ใช้กระเทียมฝานบางๆ ก็ได้ค่ะ และใส่มากหน่อยก็ได้เพราะจะหอมกระเทียมและมีประโยชน์ด้วย พอกระเทียมหอม ก็เอาผักที่สะเด็ดน้ำแล้วใส่ลงในกระทะ

          รอจังหวะให้ผักสุกหน่อยจึงใช้ตะหลิวพลิก กลับไปมา โรยเกลือ และพริกไทยเพื่อปรุงรส เท่านี้จริง ๆ เลยค่ะผัดจนนิ่มดีเอามากินเป็นอาหารจานเคียงกับอาหารเนื้อสัตว์เพื่อให้ สมดุล จึงไม่ต้องปรุงมาก ถ้าอยากลดความอ้วนและไม่กินเนื้อสัตว์ ให้หั่นมะเขือเทศใส่ลงไปผัดด้วย จะได้รสดีขึ้นอีกแบบหนึ่ง

          เห็นทำง่ายๆ อย่างนี้อย่านึกว่าไม่น่าอร่อย ลองได้ผัดสดๆ ทำใหม่ๆ ด้วยความรักและตั้งใจแล้ว ของง่ายๆ อย่างนี้แหละ อร่อยชื่นใจนัก

ประโยชน์ของมะระขี้นก

รูปมะระขี้นก
มะระขี้นกเป็นสมุนไพรและผักพื้นบ้านของไทยเรา ที่บริโภคกันมานานและเรารู้ว่ามีประโยชน์ทั้งทางด้านคุณค่าทางโภชนาการและเป็นยาสมุนไพรรักษาโรค
ข้อมูล มะระขี้นก

ชื่ออื่น ผักเหย (สงขลา) ผักไห (นครศรีธา่ร่มราช) มะร้อยู (ภาคกลาง,ภาคใต้) มะห่อย มะไห่ (ภาคเหนือ)
ลักษณะของมะระขี้นกเป็นไม้เถา เถาขนาดเล็ก มีมือเกาะ ใบเป็นแบบใบเดี่ยว ขอบใบเว้าลึก 5-7แฉก
ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกมีสีเหลืองสด
ผลมะระผลสด รูปกระสวย ผิวของผลจะมีลักษณะขรุขระ เมื่อโตเต็มที่จะมี
สีเขียว รสขม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง สุกจัดๆผลมะระจะแตกได้


ส่วนที่ใช้ ผลโตเต็มที่สีเขียว แต่ยังไม่สุก รสขมจัด และเมล็ดจากผลสุก
สรรพคุณของมะระขี้นก1. จะช่วยเจริญอาหาร การที่ผลมะระขี้นกช่วยเจริญอาหารได้ เพราะในเนื้อผลมีสารที่มีรสขมกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมา มากขึ้น จึงทำให้รับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้นใช้ผลมะระปิ้งไฟ หรือลวกจิ้มน้ำพริก
2. ยับยั้งเชื้อ HIV หรือเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย

*ใช้เมล็ดจากผลสุก 30 กรัม แกะเมล็ด ล้างเนื้อเยื่อสีแดงที่หุ้มเมล็ดออก ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ กะเทาะเมล็ดเปลือกมะระ ควรกะเทาะในภาชนะ
ที่เย็น เช่น ในที่มีอุณหภูมิต่ำ จะได้เนื้อในสีขาว ควรสวมถุงมือยางขณะทำ
* นำเนื้อใน มาล้างน้ำให้สะอาด เติมน้ำหรือน้ำเกลือที่แช่เย็นลงไป 90-100 มิลลิลิตร ปั่นในเครื่องปั้นที่แช่เย็น แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ชั้น จะได้น้ำยาสีขาวขุ่น
* น้ำยาสีขาวขุ่น ใช้สวนทวารหนัก ครั้งละ 10 มิลลิลิตร วันละครั้ง
* ถ้านำน้ำ ที่ปั่นไปแช่ตู้เย็น จะแยกเป็น ๒ ชั้น ให้ใช้ชนบนที่มีลักษณะใส


**ข้อควรระวัง1. การสวนทวาร ควรใช้วาสลินช่วยหล่อลื่นก่อนการสวน
2. ทุกขั้นตอนให้ระวังเรื่องความสะอาด
3. ต้องรักษาความเย็นตลอดเวลา

น้ำมะระขี้นก
ส่วนผสมเนื้อมะระขี้นก 30 กรัม
ใบเตยห 15 กรัม
น้ำต้มสุก 200 กรัม
เกลือป่น 1 กรัม
น้ำมะนาว 15 กรัม
วิธีทำ1. นำมะระขี้นำล้างให้สะอาด ผ่าซีก แกะเอาเมล็ดออกหั่นเป็นชิ้นยาวๆ บาง ๆ ตามขวางของผลมะระ
2. นำใบเตย หั่นเป็นท่อนสั้น ๆ ตากแห้งแล้วคั่วให้เหลืองกรอบ เก็บในขวดปากกว้าง
3. เอามะระขี้นกใบเตยหอมและน้ำ ใส่ในหม้อต้มให้เดือด หรือถ้าไม่อยากต้มจะใส่ในถ้วยแก้ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วนำมาดื่มได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะขมเวลาดื่ม เพราะแก้ไขด้วยการเอาใบเตยหอมและน้ำมะนาวมาผสม ช่วยได้ดี ช่วยกลบความขมของมะระขี้นกได้มาก
ยอดมะระขี้นก
ประโยชน์ของน้ำมะระ
ประโยชน์ของน้ำมะระขี้นกแบ่งออกเป็น 2 ทาง ได้แก่
1.คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา
2.คุณค่าทางยาสมุนไพร น้ำคั้นผลมะระ เมื่อดื่มจะช่วยลดการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นอาการจากโรคเบาหวาน ช่วยเจริญอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ แก้อาการข้ออักเสบ บำรุงน้ำดี
นอกจากผลมะระแล้วยอดมะระขี้นกยังกินเป็นผักได้ด้วย
ยอดมะระ ขี้นก คงมีหลายๆคนคุ้นเคยกับการกินผลมะระขี้นก แต่ยอดมะระขี้นกก็สามารถกินเป็นผักได้เช่นกัน ความขมระหว่างยอดและผลอาจจะแตกต่างกันนิดหน่อย ยอดมะระนั้นมีวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี กากไยอาหาร มีแคลเซียมที่ช่วยสร้างกระดูก และฟัน บำรุงน้ำนมให้คุณแม่ที่กำลังให้นมลูกอีกด้วย

มะพร้าว

สรรพคุณของมะพร้าว

-  ธรรมชาติบำบัดถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็น          ประโยชน์ต่อร่างกาย และร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย
-  มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่าง ๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวหรือเนื้อมะพร้าวเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งเพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส
โปรแตสเซียม ฯลฯ

-  มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยางมีสรรพคุณในการขับพยาธิ

-  สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกันให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

-  แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกินสามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุดให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียวครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้นแต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

-  น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังทำให้ร่างกายสดชื่นไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตามคนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว

-  น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลยไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมงแม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดทีเดียว ผลไม้แต่ละอย่างมีพลังชีวิตถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้พลังชีวิตของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

-  ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าวควรต้องระวังเรื่องสารฟอกขาวหากเป็นไปได้ควรซื้อเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง เมื่อต้องการดื่มค่อยตัดทีละลูกจากทะลาย


ประโยชน์ของมะพร้าว

-  ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายในเรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรคและเป็นสารละลายไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน (หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้
-  น้ำมะพร้าวสามารถนำไปทำวุ้นมะพร้าวได้ โดยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว
-  เนื้อในของมะพร้าวแก่ นำไปทำกะทิได้ โดยการขูดเนื้อในเป็นเศษเล็ก ๆ แล้วบีบเอาน้ำกะทิออก
-  กากที่เหลือจากการคั้นกะทิยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้
-  ยอดอ่อนของมะพร้าว หรือเรียกอีกชื่อว่า หัวใจมะพร้าว (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ ซึ่งยอดอ่อนมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนทำให้ต้นมะพร้าวตายด้วยเหตุนี้จึงมักเรียก ยำยอดอ่อนมะพร้าวว่า "สลัดเจ้าสัว" (millionaire's salad)
-  ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก ทำเสื่อ หรือนำไปใช้ในการเกษตร
-  น้ำมันมะพร้าว ได้จากการบีบหรือต้มกากมะพร้าวบด นำไปใช้ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย
-  กะลามะพร้าว นำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ กระดุม ซออู้ ฯลฯ
-  ก้านใบ หรือทางมะพร้าว ใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าว
-  จั่นมะพร้าว(ช่อดอกมะพร้าว)ให้น้ำตาล


วิธีลวกหอยแครงให้แกะง่าย


วิธีลวกหอยแครงให้แกะง่าย
หลายคนคงสงสัยว่า วิธีลวกหอยแครงให้แกะง่าย นั้นทำยังไงน๊า ต้องบอกก่อนนะคะว่าถ้าอยากจะกินหอยแครงลวกให้อร่อยๆ ต้องใจเย็นๆ ต้องพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกซื้อหอยแครง ในการเลือกซื้อหอยแครงต้องเลือกคอยแครงที่สด หอยที่สดคือหอยที่ยังไม่ตาย ยังขยับฝาหอยพะงาบพะงาบอยู่ แล้วต้องเลือกเอาหอยที่มีขนาดตัวใหญ่ๆ ด้วย และก่อนที่จะนำหอยแครงไปลวกนั้นต้องนำหอยแครงไปแช่ในน้ำเปล่าทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้หอยแครงคายขี้โคลนออกก่อน จึงนำไปล้างน้ำให้สะอาดอีกที คราวนี้ก็มาดูเคล็ดลับวิธีลวกหอยแครงให้แกะฝาออกง่ายๆ และสุกพอดีกันเลยค่ะ
ในการลวกหอยแครงจะมีให้เลือกอยู่ 2 วิธี
- วิธีลวกหอยแครงวิธีแรก เคือ ตรียมน้ำใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ รอน้ำให้เดือดแล้วจึงยกหม้อน้ำเดือดๆ เทใส่ลงไปในชามหอยแครงที่เตรียมไว้จนท่วม จะสังเกตเห็นมีฟองน้ำที่ผุด เมื่อหยุดผุดแล้วจึงตักหอยขึ้นพักในชามน้ำเย็นสักครู่ แล้วจึงนำหอยไปพักในกระชอน เราก็จะได้หอยแครงลวกที่แกะได้ง่ายและสุกพอดี
- วิธีลวกหอยแครงวิธีที่ 2  เอาหม้อใส่น้ำขึ้นตั้งไฟเหมือนกัน รอต้มน้ำให้เดือดจัดก่อน แล้วจึงใส่น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำ 1 ลิตร ลงไปในน้ำที่กำลังเดือด ทีนี้เราก็นำหอยแครงลงลวกทิ้งไว้แค่ประมาณ 1 นาที ก็พอ จากนั้นตักหอยไปวางพักในกระชอน เราก็จะได้หอยแครงลวกได้สุกพอดีและแกะง่ายทุกตัวทุกเช่นเดียวกับวิธีแรกค่ะ
ทีนี้ก็มาอยู่ที่ตัวเราเองแล้วล่ะว่าจะสะดวกวิธีไหนมากกว่ากัน ก็นำวิธีลวกหอยแครงวิธีนั้นไปลองใช้ดู รับรองคุณได้ทานหอยแครงลวกที่หวานอร่อยๆ แล้วค่ะ ที่สำคัญอย่าลืมตำนำจิ้มแซ่บๆ ด้วยนะคะ ว่าแล้วก็อยากกินเหมือนกันค่ะ….

ประโยชน์หลากหลายจาก "มะละกอ"


ประโยชน์หลากหลายจาก "มะละกอ"       เมื่อพูดถึง "มะละกอ" ผลไม้รูปทรงยาวรี "108 เคล็ดกิน" ก็มีอันต้องนึกไปถึงส้มตำก่อนทุกที คงเป็นเพราะเรามักจะได้เห็นมะละกอในรูปแบบของส้มตำจานเด็ดอยู่เสมอๆ แต่นอกจากส้มตำแล้ว มะละกอก็ยังเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ทางยาอีกมากมาย เช่น ใบมะละกอสดนำมาย่างไฟและนำมาประคบช่วยแก้อาการปวดบวมได้ ใบใช้ต้มกินเพื่อขับปัสสาวะ เมล็ดต้มกินเพื่อขับพยาธิ ขับประจำเดือน ยางมะละกอแก่พิษตะขาบกัดแมลงสัตว์กัดต่อย รวมไปถึงช่วยหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย

แต่สิ่งที่เรามักใช้ประโยชน์กับมะละกอมากที่สุดก็คงจะเป็นผลมะละกอ ที่กินได้ทั้งสุกและดิบ ผลดิบก็สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง นอกจากส้มตำแล้วก็ยังนำไปต้มหรือนึ่งกินกับน้ำพริกชนิดต่างๆ จะนำไปผัดกับไข่ หรือจะแกงส้มมะละกอก็อร่อยไม่น้อย

ส่วนผลสุกนั้นต้องถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพได้เลยทีเดียว เพราะในผลสุกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 1 บี 2 แคลเซียม และที่สำคัญคือ สารเบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงและทำให้ผิวพรรณดียิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยชะลอความแก่ และริ้วรอยก่อนวัยอันควร แถมยังช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย แก้กระหายน้ำ บำรุงโลหิต บำรุงระบบประสาท บำรุงสายตา และที่สำคัญ มะละกอสุกนั้นช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แก้ท้องผูก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 1)

    วิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของคนเรา เพราะร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะจะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกไม่แข็งแรง เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ขาดวิตามินบี 1 ทำให้เป็นโรคเหน็บชา ถ้าขาดวิตามินเอทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืด ภูมิต้านทานโรคไม่ดี เป็นต้น
    หากเปรียบร่างกายของเรากับรถยนต์ วิตามินก็ทำหน้าที่เหมือนน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ ที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์เดินได้สะดวก และคนเราก็มักจะได้รับข้อมูลเฉพาะในเรื่องประโยชน์ของวิตามินที่มีต่อสุขภาพ ทำให้เกิดความกังวลว่าในแต่ละวันจะได้รับวิตามินเพียงพอกับความต้องการของร่างกายหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่ค่อยมีเวลากับเรื่องอาหารการกินมากนัก อาศัยฝากท้องกับร้านอาหารนอกบ้าน ประกอบกับแรงโฆษณาทั้งทางตรงและผ่านสื่อต่าง ๆ ส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยตัดสินใจซื้อวิตามินในรูปของเม็ดยามากิน ถึงแม้ว่าเม็ดยาต่าง ๆ ดังกล่าวจะมีราคาแพงกว่าการซื้ออาหารมากินเพื่อให้ได้วิตามินก็ตามที ซึ่งการกินวิตามินในรูปของเม็ดยานั้น หากไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาจทำให้ได้รับวิตามินมากเกินความต้องการของร่างกายและเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
    นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน ส่วนวิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน นั่นคือการที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
    ร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1.5 มิลลิกรัม อาหารที่มีวิตามินบี 1 สูงจากการวิเคราะห์อาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ เนื้อหมู (0.69 มิลลิกรัม) ข้าวกล้อง (0.34 มิลลิกรัม) เมล็ดฟักทองแห้ง (0.40 มิลลิกรัม) ถั่วลิสงต้ม (0.56 มิลลิกรัม) ถั่วเขียว (0.66 มิลลิกัม) รำข้าว (1.26 มิลลิกรัม) ลูกเดือย (0.41 มิลลิกรัม) เป็นต้น แต่ถ้ากินปลาดิบ กินหมาก ดื่มน้ำชา หรือเคี้ยวเมี่ยง ควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีวิตามินบี 1 สารที่อยู่ในอาหารดังกล่าวข้างต้นจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ จึงไม่ควรกินอาหารดังกล่าวพร้อมอาหารมื้อหลัก หากเราได้รับวิตามินบี 1 ไม่พียงพอจะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีอาการเหน็บชา คือชาตามมือตามเท้าทั้งสองข้าง ต่างจากอาการเป็นเหน็บตรงที่จะชาเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเกิดจากอวัยวะส่วนนั้นถูกกดทับเป็นเวลานานๆ ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนนั้นไม่สะดวกจึงมีอาการเป็นเหน็บขึ้น (บางคนก็เรียกอาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่าเป็นเหน็บชา จึงทำให้เข้าใจผิดว่าอาการเป็นเหน็บกับโรคเหน็บชาเป็นชนิดเดียวกัน) การเป็นเหน็บแก้ไขโดยอย่าอยู่ในท่าเดิมนานๆ หรือท่าที่ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เช่น การนั่งพับเพียบนาน ๆ ก็ทำให้เป็นเหน็บได้ง่าย
    วิตามินบี 2 มีหน้าที่สำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากพลังงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 วันละ 1.7 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 มาก โดยวิเคราะห์จากอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ นมสด (0.16 มิลลิกรัม) ไข่ไก่ (0.40 มิลลิกรัม) เนื้อวัว (0.34 มิลลิกรัม) เห็ดฟาง (0.33 มิลลิกรัม) ตับไก่ (1.32 มิลลิกรัม) ตับวัว (1.68 มิลลิกรัม) เป็นต้น หากได้รับไม่เพียงพอจะมีแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง (ปากนกกระจอก) ถ้ามีแผลที่มุมปากเพียงข้างเดียวไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 แต่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หากเราดื่มนมเป็นประจำทุกวันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 2 เพราะนมที่ไม่ถูกแสงหรือความร้อน 2 แก้วก็เท่ากับปริมาณวิตามินบี 2 ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันแล้ว
    วิตามินบี 6 ร่างกายต้องการเพียงวันละ 1.8-2.2 มิลลิกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของโปรตีนในร่างกาย พบมากในอาหารที่ให้โปรตีน ได้แก่ ถั่วเหลือง ตับสัตว์ ไข่ และนม คนไทยมักไม่ขาดวิตามินชนิดนี้ ยกเว้นในคนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีการใช้ยารักษาวัณโรค เป็นต้น
    วิตามินบี 12 ร่างกายต้องการเพียง 2 ไมโครกรัมต่อวัน แหล่งอาหารที่ให้วิตามินบี 12 คือ เนื้อสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเล เครื่องในสัตว์ และอาหารหมักดองจากสัตว์ ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 12 คือผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัดเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง คนที่กินอาหารครบ 5 หมู่ปกติจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 12 เพราะในหนึ่งวันร่างกายต้องการในปริมาณน้อยมาก
    โฟเลต หรือกรดโฟลิก ร่างกายต้องการเพียง 200 ไมโครกรัมต่อวัน หากเป็นหญิงตั้งครรภ์จะต้องการมากขึ้นเป็น 400 ไมโครกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีความสำคัญในการช่วยสร้างเม็ดเลือดและเซลล์ต่าง ๆ โฟเลตเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างของเซลล์ จึงทำให้มีการเสริมโฟเลตในอาหารประเภทนมและมีการโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายคือหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งก็ต้องการโฟเลตเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติ อาหารที่มีโฟเลตสูง ได้แก่ ตับ (30-50 ไมโครกรัม) ผักใบเขียว (9 ไมโครกรัม) และน้ำส้มคั้นที่คั้นแล้วดื่มทันที (50-100 ไมโครกรัม) เป็นต้น
    ไนอะซิน ร่างกายต้องการวันละ 20 มิลลิกรัม คนที่เสี่ยงต่อการขาดไนอะซินคือคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและกินอาหารไม่ครบถ้วน อาการของโรคคือรู้สึกแสบร้อนรอบปาก เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ปวดศีรษะ หากเป็นมาก ๆ จะมีอาการทางประสาท ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ผิวหนังเมื่อถูกแดดจะแสบร้อน ปลายและขอบลิ้นบวมแดง อาหารที่มีไนอะซินมาก ได้แก่ เนื้อวัว (6.7 มิลลิกรัม) ตับวัว (12.8 มิลลิกรัม) เนื้อเป็ด (11.7 มิลลิกรัม) รำข้าว (29.8 มิลลิกรัม) ใบกระถิน (5.4 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (3.8 มิลลิกรัม) เห็ด (4.9 มิลลิกรัม) เนื้อไก่ (8.0 มิลลิกรัม) เป็นต้น
    วิตามินซี เป็นวิตามินที่รู้จักกันดี มีมากในผักและผลไม้สด ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการประมาณ 60 มิลลิกรัม หากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ประจำร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ หน้าที่สำคัญของวิตามินซีคือป้องกันการทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยสังเคราะห์สารต่าง ๆ เช่น สร้างฮอร์โมน เยื่อบุหลอดเลือดต่างๆ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้ คนที่ขาดวิตามินซีจึงมักมีอาการปรากฏตามบริเวณต่าง ๆ ที่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงมากๆ เช่น ไรฟัน ทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันหรือลักปิดลักเปิด หากเกิดบริเวณเยื่อกระดูกก็จะทำให้ปวดกระดูก อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ฝรั่ง (160 มิลลิกรัม) มะขามเทศ (133 มิลลิกรัม) มะละกอสุก (73 มิลลิกรัม) มะม่วงดิบ (62 มิลลิกรัม) กะหล่ำดอก (72 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (48 มิลลิกรัม) ดอกโสน (51 มิลลิกรัม) ใบคะน้า (140 มิลลิกรัม) มะเขือเทศสุก (23 มิลลิกรัม) เป็นต้น
    รายละเอียดของวิตามินบีรวมและวิตามินซีที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำ ดังนั้นการล้าง การปรุง หรือเตรียมอาหารทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้วิตามินกลุ่มนี้สลายไปเรื่อย ๆ จึงควรระวังในเรื่องนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นหากจะหุงข้าวแล้วเกรงว่าข้าวสารจะสกปรก จึงซาวข้าวหลายๆ ครั้ง การทำเช่นนี้ก็สูญเสียวิตามินบีไปแล้ว หรือปอกผลไม้ทิ้งไว้ไม่กินทันที หรือคั้นน้ำส้มทิ้งไว้ในตู้เย็นหรือทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องก็ตาม วิตามินซีก็จะสูญเสียไปได้ ดังนั้นเพื่อให้ได้วิตามินครบถ้วนจึงควรให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการเตรียมและปรุงอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากอาหารที่เรากินนั่นเอง
    นอกจากการกินให้ครบถ้วนและเพียงพอแล้ว ในปัจจุบันผู้คนยังให้ความสนใจในการนำวิตามินมาใช้เป็นยากันมาก ตัวอย่างเช่นการแนะนำให้กินวิตามินซีในปริมาณสูง ๆ ในรูปของเม็ดยา เช่น 100 มิลลิกรัมขึ้นไปเพื่อป้องกันโรคหวัด โรคมะเร็ง หรือช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นสดใส ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดยืนยัน ในทางกลับกันมีรายงานวิจัยรายงานว่าการกินวิตามินซีสูง ๆ ดังกล่าวติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไต อุจจาระร่วง ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป ดังนั้นขอแนะนำให้กินผักผลไม้สดเป็นประจำจึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งนี้หากต้องการกินในรูปของน้ำผักหรือน้ำผลไม้เพื่อให้ได้รับวิตามินซีต้องดื่มทันทีที่คั้นเสร็จ มิฉะนั้นวิตามินซีจะสลายสูญเสียไป
    สำหรับวิตามินบีพบว่ามีภาวะการขาดค่อนข้างน้อย เพราะเมืองไทยของเรามีอาหารที่ให้วิตามินบีมากมาย หากกินอย่างหลากหลายก็มักไม่พบปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ถ้ากินมากไป (กินอาหารจากธรรมชาติ) ร่างกายจะไม่สะสมให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติละลายในน้ำ เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกเองได้ จึงไม่ควรกังวลกับการได้รับวิตามินบี ยกเว้นจากการได้รับในรูปของเม็ดยาปริมาณสูงเกินปกติมาก ๆ อีกทั้งกินติดต่อกันเป็นประจำจนร่างกายขับทิ้งไม่ทันก็เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ คือหากได้รับไนอะซินมากเกินไปจะทำให้เกดผื่นคันตามผิวหนังและท้องร่วงได้ การได้รับโฟลิกสูงเกินไปจะทำให้นอนไม่หลับ ลำไส้ไม่ปกติ

 วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 2)
     เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิตามินมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ คือเป็นตัวช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งแหล่งสำคัญของวิตามินก็คืออาหารที่เรากินเป็นประจำนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ และถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทข้าว แป้ง ไขมัน รวมทั้งอาหารประเภทผักและผลไม้ และจากที่คนเราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่เร่งรีบ จึงให้เวลาสำหรับเรื่องอาหารการกินน้อยลง บริโภคนิสัยเปลี่ยนไป ประกอบกับมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแพร่เข้ามาในสังคมไทย ทั้งผ่านสื่อต่าง ๆ และการขายตรง ทำให้คนจำนวนไม่น้อย เห็นเป็นทางลัดที่จะช่วยทำให้สุขภาพดีแทนที่จะเลือกกินอาหารที่ถูกต้องและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ซึ่งคอลัมน์ Nutrition เมื่อฉบับที่แล้วได้นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำ รวมถึงแหล่งอาหารที่มีวิตามินสูง ประโยชน์ที่จะได้รับ ตลอดจนผลข้างเคียงที่จะก่อให้เกิดอันตรายหากบริโภคมากเกินไป ซึ่งอันตรายเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นหากบริโภคในรูปของอาหาร แต่ถ้าบริโภคในรูปของเม็ดยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้ แม้ร่างกายจะสามารถขับวิตามิน ที่ละลายในน้ำออกได้ง่ายกว่า วิตามินที่ละลายในไขมันก็ตาม ในฉบับนี้จึงขอนำรายละเอียดของวิตามินที่ละลายในไขมันเสนอต่อจากตอนที่แล้ว
     เวิตามินชนิดที่ละลายในไขมันเป็นวิตามินที่ต้องมีไขมันเป็นตัวนำหรือตัวพาไป ร่างกายจึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ วิตามินชนิดนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
    วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ปกป้องเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อขาดวิตามินเอ เยื่อบุต่างๆ จะเหี่ยวฝ่อ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งวิตามินเอจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง และยังช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ถ้าขาดวิตามินเอจะทำให้การปรับตัวของตาในที่มืดไม่ดี คนสมัยก่อนเรียกอาการดังกล่าวว่า ตามัวตาฟางและวิตามินเอยังมีบทบาทช่วยในการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก สมอง และอื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งการขาดวิตามินเอทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ มองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืน ติดเชื้อง่าย และในเด็กเล็กหากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ผิวแห้ง ผมร่วง ถ้าเป็นในเด็กจะทำให้ปวดกระดูก สำหรับหญิงมีครรภ์ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้แท้งได้
    เมื่อรู้จักวิตามินเอก็ต้องรู้จักเบตา-แคโรทีนควบคู่ไปด้วย เพราะเบตา-แคโรทีนคือสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีน ร่างกายของเราจะเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้ ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเอ 800 ไมโครกรัม อาร์อี หรือ 2,664 หน่วยสากล หากเป็นเบตา-แคโรทีนจะเท่ากับ 4,800 ไมโครกรัม (จากเอกสาร สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปจัดทำโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข)
    อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น
    การกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ได้รับวิตามินเอหรือเบตา-แคโรทีน โดยควรกินควบคู่กับอาหารที่มีไขมันด้วย จะช่วยให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ซึ่งการกินอาหารธรรมชาติดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินความต้องการของร่างกาย แต่หากกินในรูปของเม็ดยาหรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้ได้รับในปริมาณมากเกินไป และวิตามินชนิดนี้ถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับทิ้งได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ในต่างประเทศมีรายงานว่าพบผู้ที่กินเบตา-แคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย
    วิตามินดี เป็นวิตามินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย จึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินดีเพียง 5 ไมโครกรัม หรือ 200 หน่วยสากล ซึ่งนับว่าต้องการในปริมาณที่น้อยมาก และร่างกายของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงแดดอ่อน ๆ คนไทยเราโชคดีที่บ้านเรามีแสงแดดมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินดี ยกเว้นในคนที่ไม่ได้รับหรือไม่ถูกแสงแดดเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดแล้ว ในอาหารที่เรากินกัน เช่น ไข่แดง นม ปลาที่มีไขมัน ตลอดจนธัญพืช ก็มีวิตามินดีอยู่มาก คนไทยจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินดีเหมือนชาติตะวันตกที่ประเทศเขาไม่ค่อยมีแสงแดด นอกจากนี้การได้รับวิตามินดีสูงเกินไปอาจทำให้มีแคลเซียมตกตะกอนเป็นหินปูนเกาะอยู่ที่ไต (นิ่วในไต) ได้
    วิตามินอี เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก มีหน้าที่สำคัญคือช่วยให้เยื่อบุและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินอีเพียง 10 มิลลิกรัม อัลฟา ที อี หรือ 15 หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ ซึ่งการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
    อาหารที่มีวิตามินอีสูงคือน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นหากใช้น้ำมันพืชดังกล่าวปรุงอาหารเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินอี นอกจากนี้ในท้องตลาดปัจจุบันยังพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในน้ำมันปาล์มด้วย
    วิตามินอีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนอกจากจะพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูปเม็ดยาแล้ว ยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน นอกจากนี้อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย ดังนั้นคนปกติทั่วไปจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินอี และถ้าคิดจะซื้อวิตามินอีในรูปของเม็ดยามากินควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
    วิตามินเค เป็นวิตามินที่มีคนรู้จักและกล่าวถึงน้อยกว่าวิตามินชนิดอื่นที่กล่าวมา มีหน้าที่สำคัญคือช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยสร้างโปรตีนชนิดที่มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเคเพียง 80 ไมโครกรัม ซึ่งนอกจากอาหารประเภทใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ที่มีวิตามินเคแล้ว ยังพบได้ในตับสัตว์และเนย รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินเค ยกเว้นในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังสะสมวิตามินเคได้น้อย เมื่อคลอดออกมาแพทย์ก็จะฉีดวิตามินเคให้ คุณพ่อคุณแม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดจึงไม่ต้องวิตกว่าลูกของตนจะขาดวิตามินเค และผู้ที่จะมีปัญหาอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน จึงทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินเคได้ เนื่องจากวิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงต้องมีไขมันเป็นตัวนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อร่างกายมีปัญหาการดูดซึมไขมันจึงดูดซึมวิตามินเคไม่ได้ ส่งผลให้ขาดวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคน ที่ควรจะได้รับวิตามินเคมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเค คือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับ ได้แก่ ดีซ่าน ตับแข็ง ซึ่งควรได้รับวิตามินเคมากกว่าคนทั่วไป
    อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่า สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

ผักต่างสี.....มีดีต่างกัน


เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกาย



 

        
    ผักสีเขียว เป็นผักธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่มีมากที่สุดในโลก สีเขียวมาจากคลอโรฟิลล์ ซึ่งดีสำหรับดวงตา ผักสีเขียวส่วนมากเป็นผักกินใบ ผักตระกูลบวบ (Gourd) ซึ่งรวมผักจำพวกแตง และซูกินีด้วย ผักประเภทนี้มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ
    ผักสีขาว กะหล่ำปลี ถือเป็นผักสีขาว (แม้จะมีสีเขียวอยู่บ้างก็เป็นสีเขียวอือนตรงโคนกาบ) เป็นผักที่รู้จักบริโภคกันทั่วโลก เป็นผักที่มีสารต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติในการย่อยอาหาร ในเกาหลี ปลูกกะหล่ำปลีมากที่เกาะเซจู กะหล่ำปลีชอบดินทราย และอากาศเย็น (ระหว่าง 15 - 20 องศา) ปัจจุบันที่เกาะเซจูแห่งนี้นับเป็นแหล่งผลิตกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่ปลูกประมาณ 1,500 เฮคแตร์ หรือ ประมาณ 9,375 ไร่ และสามารถจะปลูกกะหล่ำปลีได้ตลอดทั้งปี
    ผักสีแดง มะเขือเทศจัดอยู่ในประเภทผักสีแดง สีแดงมาจากไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งช่วยชะลอความแก่ และเมื่อหลายปีก่อนมีบทความทางวิชาการยืนยันว่า ไลโคปีน สามารถป้องกันมะเร็งในตับอ่อนได้ ทำให้ผู้คนหันมาสนใจบริโภคมะเขือเทศกันมากขึ้น
    ผักสีม่วง สีม่วงในมะเขือม่วง ซึ่งเป็นผักในตระกูลมะเขือยาว (Aubergines) จะมีสีม่วงเข้ม บางครั้งดูเหมือนจะเป็นสีดำ สีม่วงเข้มดังกล่าว มาจากสีของแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ที่อยู่ในผัก แอนโธไซยานินมีคุณสมบัติในการป้องกันสารอันตรายไม่ให้สะสมในเส้นเลือด ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตก สารที่มีอยู่ในมะเขือม่วงนี้เรียกว่า "สโคโพเลติน" (Scopoletin) และ "สโคโพเลติน" ช่วยยับยั้งการเกร็งของกล้ามเนื้อในร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้รับประทานมะเขือม่วงเพื่อรักษาอาการทางประสานด้วย
    ผักสีเหลือง พริกยักษ์หรือพริกหวาน มีหลายสี ทั้ง เขียว แดงและเหลือง สีเหลืองของพริกหวานประกอบด้วยเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ซึ่งเป็นตัวควบคุมการเพิ่มออกซิเจน หรือ Oxidation ของสารในร่างกาย ซึ่งจะมีผลต่อการชะลอความแก่ และ ป้องกันมะเร็ง
    นอกเหนือจากพริกหวานแล้ว ผักที่มีสีเหลือง หรือผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอีกบางชนิดที่น่าจะจัดอยู่ในผักสีเหลืองได้ คือ ฟักทองและแครอท โดยเฉพาะแครอทนั้น แม้ไม่ใช่ผักของไทย แต่ก็มีปลูกกันมากแล้ว โดยเฉพาะทางพื้นที่ที่สูงในภาคเหนือ

สมุนไพรกับคนวัยทอง

 
          สัปดาห์นี้อยากนำเรื่องที่หลายคนประสบอยู่ โดยเฉพาะบุรุษและสตรีที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ท่านมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่ เช่น หงุดหงิด โกรธง่าย ขาดสมาธิ จู้จี้ขี้บ่น กังวล นอนไม่หลับ ท้อแท้ ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังแห้ง ความจำเสื่อม ซึมเศร้า ภาวะกระดูกพรุน มะเร็งต่อมลูกหมากโต รูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แก่ก่อนวัย ฯลฯ อาการเหล่านี้นอกจากท่านจะปรึกษากับแพทย์ในคลินิกวัยทองแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจด้วยองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยที่มีการพัฒนา ศึกษาวิจัย สั่งสมมาจากประสบการณ์ จากภูมิปัญญาพื้นบ้านไทย ซึ่งในเวทีการประชุมวิชาการของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ภญ.จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก นักวิชาการเกษตร ๘ ว.จากศูนย์บริการสาธารณสุข ๕๓ ทุ่งสองห้อง ซึ่งเป็นวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสมุนไพร และมีผลงานทางวิชาการที่ตีพิมพ์เป็นหนังสือเกินกว่า ๑๐ เล่ม ในเวทีดังกล่าวอาจารย์ได้บรรยายถึงการใช้

          สมุนไพรในวัยทองที่น่าสนใจและน่ารู้ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของกลุ่มวัยทองทั้งหลาย

          สมุนไพรที่ใช้ในการป้องกัน ดูแล รักษากลุ่มอาการดังกล่าวมีอะไรบ้าง ก็มีรายชื่อสมุนไพรต่างๆที่ควรรู้จัก โดยเฉพาะเป็นสมุนไพรพื้นบ้านง่ายๆ แต่เรามองข้ามกันได้แก่

          -สมุนไพรเพิ่มภูมิต้านทาน เช่น โสม เห็ดหลินจือ กระเทียม กระเพรา ถั่วเหลือง เถาวัลย์เปรียง ฯลฯ

          -สมุนไพรรักษาโรคกระดูกพรุน เช่น ขันทองพยาบาท ยอ ช้าพลู มะขาม แคบ้าน ผักกระเฉด ฯลฯ

          -สมุนไพรต้านมะเร็ง เช่น เพกา หญ้าปักกิ่ง ชา กระเบา จำปีป่า ทับทิม มะขามป้อม ฯลฯ

          -สมุนไพรดูแลระบบประสาท เช่น ชุมเห็ดเทศ ขี้เหล็ก ระย่อม แปะก๊วย บัวบก พระจันทร์ครึ่งซีก ฯลฯ

          -สมุนไพรรักษาอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เช่น ฟ้าทะลายโจร ผักคราดหัวแหวน ชะเอมจีน ฯลฯ

          -สมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด เช่น มะนาว ฝรั่ง มะระ ทองพันชั่ง ฯลฯ

          -สมุนไพรรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เช่น กวาวเครือ ดีปลี กระชาย กระเจี๊ยบแดง ตะโกนา ฯลฯ

          -สมุนไพรรักษาต่อมลูกหมากโต เช่น ขลู่ หญ้าหนวดแมว หญ้าคา โคกกระสุน หญ้างวงช้าง ฟักทอง มะเขือเทศ แครอท ฯลฯ

          -สมุนไพรขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา เช่น กระเจี๊ยบแดง หญ้าคา ขลู่ ตะไคร้ สับปะรด อ้อยแดง หญ้าพันงู ฯลฯ

          -สมุนไพรรักษาความดันโลหิตสูง เช่น ถั่วเหลือง ขึ้นฉ่าย ทานตะวัน ทับทิม ฯลฯ

          เห็นไหมคะว่าสมุนไพรที่กล่าวถึงล้วนเป็นสมุนไพรใกล้ตัวทั้งสิ้น แต่เราไม่รู้ว่าสามารถป้องกันอาการของกลุ่มวัยทองได้ ซึ่งสมุนไพรต่างๆ ปัจจุบันมีทั้งรูปแบบอาหารเสริม รูปแบบยา ชาชง อาหารขึ้นโต๊ะแต่ละมื้อที่เรารับประทานเป็นผักเครื่องเคียงกับน้ำพริกง่ายที่สุด หากท่านมีพื้นที่ปลูกได้ก็ปลูกกันเถอะ ไม่ยากเลย

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

สุขภาพดีกับประโยชน์ของสับปะรด


การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ
     จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน

มีประโยชน์ต่อสุขภาพถึงไม่ควรมองข้ามไป

เรามาทำความรู้จักกับข้อดีของสับปะรดกันดีกว่าค่ะเพื่อสุขภาพของเราเอง

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกายแต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในระบบการย่อยอาหาร
สับปะรดมีกากใยอาหารมากซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหารและเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอลควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี
สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดการสูบบุหรี่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรงเนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ชาวอเมริกาใต้โบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล



การรับประทานที่ถูกวิธี คือ
     ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มากแต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น
คุณรู้หรือไมว่า! สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงและช่วยในการย่อยอาหารและยังสามารถป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ฯลฯ สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานกันได้ง่ายในบ้านเราตลอดทั้งปี

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แจ่วบอง

แจ่วหรือ น้ำพริก เป็นอาหารที่ชาวอีสานนิยมรับประทานกัน  เพราะทำได้ง่ายมีเครื่องปรุงไม่มากนัก  แค่มีพริกและปลาร้าในครัวก็สามารถทำแจ่วได้แล้ว  ด้วยความที่ทำได้ง่ายจึงจะพบว่าอาหารของชาวอีสานเกือบทุกมื้อจะต้องมีแจ่วเป็นอาหารหลักๆแน่นอน  ชาวอีสานนิยมรับประทานแจ่วกับผักที่เก็บได้จากรั้วบ้าน  หรือกับพวกเนื้อย่าง  ปลาย่าง หรือนึ่ง  ปัจจุบันถึงแม้วิถีชีวิตของชาวอีสานจะเปลี่ยนไปแต่อาหารต่างโดยเฉาะแจ่วไม่ได้เสื่อมความนิยมลงไปเลย  เพราะเหตุนี้เราจึงหาทานแจ่วแบบอีสานได้ทั่วๆไป